Age of Enlightenment
ยุคภูมิธรรม

------------------------------------------------------------------------------
เรียบเรียงโดย : นวิยา รุ่งเจริญ และ ฐนัสธร คล้ายสุขพงษ์

ยุคภูมิธรรมของยุโรป image
ยุคภูมิธรรมของยุโรปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 นักคิดในยุคนี้เชื่อมั่นว่าเหตุผล (reason) จะนำพาสังคมมนุษย์ให้พ้นจากความมืดไปสู่แสงสว่างหรือความก้าวหน้า (progress) หรือที่อิมมานูเอล คานต์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 18 กล่าวว่า ภูมิธรรมหมายถึงการที่คนเรากล้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองโดยไม่ต้องให้ผู้อื่นมาชี้แนะ

ยุคภูมิธรรมมีจุดเริ่มต้นในอังกฤษจากข้อค้นพบเรื่องกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของนิวตันซึ่งนำไปสู่ความเชื่อในระบบกลไกที่มีกฎควบคุมตายตัว (deterministic mechanism) นั่นคือ หากความเป็นไปในจักรวาลมีกฎกำกับอยู่ฉันใด ความเป็นไปของทุกอย่างในโลกไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ พระเจ้า และมนุษย์ก็อธิบายได้ด้วยเหตุผลฉันนั้น
Thomas Hobbes image
นักคิดชาวอังกฤษ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes ค.ศ. 1588-1679) ผู้เขียนหนังสือชื่อ ลิเวียธาน (Leviathan) อันเป็นชื่อของสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล เขามองว่าสังคมมนุษย์เสมือนอยู่ในสภาวะสงคราม เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ชอบแข่งขัน ไม่ไว้ใจผู้อื่น และแสวงหาเกียรติภูมิ ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาความปลอดภัยด้วยการทำสัญญาประชาคม (social contract) เพื่อยกอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดให้แก่องค์อธิปัตย์ (sovereign) ผู้ทำหน้าที่บดขยี้ความทระนงของมนุษย์ ฮอบส์จึงสนับสนุนกษัตริย์ราชวงศ์สจ๊วตที่พยายามเป็นอิสระจากรัฐสภา แม้เขาจะไม่เห็นด้วยการอ้างลัทธิเทวสิทธิ์ก็ตาม
John Locke image
ขณะที่ จอห์น ล็อก (John Locke ค.ศ. 1632-1704) เจ้าของผลงานความเรียงสองเรื่องว่าด้วยการปกครอง (The Two Treatises of Government) ได้ปฏิเสธการอ้างลัทธิเทวสิทธิ์เช่นเดียวกับฮอบส์ แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ล็อกเชื่อว่ามนุษย์ทั้งปวงเกิดมาเป็นอิสระ พวกเขายอมมอบอำนาจให้แก่ผู้ปกครองเพื่อคุ้มครองสิทธิส่วนตัวในชีวิต ทรัพย์สิน และเสรีภาพ ดังนั้นหากผู้ปกครองละเมิดสิทธิส่วนตัวเหล่านี้ ประชาชนก็มีสิทธิ์จัดหาผู้ปกครองชุดใหม่มาทำหน้าที่แทน หรือกล่าวสั้นๆ ได้ว่า รัฐบาล ทั้งปวงมีอำนาจจำกัด และอยู่ได้ตราบเท่าที่ประชาชนให้ความยินยอมและเขาเห็นด้วยกับการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์เมื่อ ค.ศ. 1688
Adam Smith image
นอกจากนักคิดทางการเมืองแล้ว อังกฤษยังมีนักคิดทางเศรษฐกิจคนสำคัญคือ อดัม สมิธ (Adam Smith ค.ศ. 1723-1790) ผู้เขียนหนังสือ ความมั่งคั่งแห่งชาติ (The Wealth of Nations) สมิธเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีความรักตัวเองและแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของตัวเอง การปล่อยให้แต่ละคนดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเป็นอิสระ (laissez-faire) จะก่อให้เกิดการแบ่งงานกันทา (division of labor) ตามความถนัดซึ่งนำไปสู่ผลิตภาพ (productivity) หรือการใช้ทรัพยากรเท่าเดิมแต่ผลิตสินค้าได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตและจำนวนผลผลิตของประเทศ สมิธโจมตีการใช้นโยบายแบบลัทธิพาณิชย์นิยมของรัฐในยุโรปว่าเป็นการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจและขัดขวางธรรมชาติในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของมนุษย์ เขามองว่ารัฐควรมีบทบาทจำกัดเพียง 3 เรื่องคือ การป้องกันประเทศ การให้ความยุติธรรมแก่คนในสังคม และการให้บริการในเรื่องที่เป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจ เช่น ระบบเงินตรา ระบบการขนส่ง ระบบการศึกษา เป็นต้น

แนวคิดของเขาประกอบกับข้อเรียกร้องของเอกชนทำให้เมื่อถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 รัฐบาลอังกฤษได้หันมาใช้ระบบ การค้าเสรี (free trade) และยกเลิกใบอนุญาตที่ให้บริษัทบริติชอีสอินเดียผูกขาดการค้ากับโลกตะวันออก ข้อที่น่าสังเกตก็คือ แม้แนวคิดภูมิธรรมจะยังคงอยู่ในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่ความคึกคักกลับย้ายไปที่ฝรั่งเศส ทั้งนี้เพราะอังกฤษผ่านการปฏิวัติทางการเมืองจนกลายเป็นระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญแล้ว แรงกดดันเพื่อหาทางออกให้กับสังคมจึงน้อยกว่าฝรั่งเศสที่ยังเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ว่าคริสต์ศตวรรษที่ 18 คือยุคภูมิธรรมของฝรั่งเศสก็คือ หนังสือสารานุกรม (Encyclopedia) ซึ่งมี ดิเดอโรต์ (Diderot ค.ศ. 1713-1784) เป็นบรรณาธิการ และมีนักวิชาการและนักคิดจำนวนมากมาร่วมจัดทำโดยใช้เวลาถึง 21 ปี จนตีพิมพ์เล่มแรกเมื่อ ค.ศ. 1751 และครบชุดในเล่มที่ 28 เมื่อค.ศ. 1772 สารานุกรมนี้มีเนื้อหาประมวลความรู้ทั้งด้านปรัชญา ศาสนา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ การเมือง และเศรษฐกิจ โดยแฝงคำอธิบายที่แสดงความสงสัยต่ออำนาจของศาสนาและอำนาจอันเฉียบขาดของกษัตริย์

ยุคภูมิธรรมในฝรั่งเศส imageยุคภูมิธรรมในฝรั่งเศส image
Montesquieu image
นักคิดภูมิธรรม (philosophes ในภาษาฝรั่งเศส) ที่ควรกล่าวถึงคนแรกคือ มงเตสกิเออ (Montesquieu ค.ศ. 1689-1755) ผู้เกิดในตระกูลขุนนาง เขาเคยใช้ชีวิตในอังกฤษและศึกษาความคิดของ จอห์น ล็อก ผลงานของเขาเรื่อง จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย (The Spirit of the Laws) เมื่อ ค.ศ. 1748 มีใจความสำคัญคือ กฎหมายคือเหตุผลของมนุษย์ที่ใช้ในการปกครอง และต้องปรับให้เข้ากับสภาพของแต่ละสังคม ส่วนการปกครองนั้นจำแนกได้เป็น 3 ระบอบ ได้แก่ (1) ระบอบสาธารณรัฐซึ่งอยู่ได้โดยคุณธรรมของประชาชน (2) ระบอบกษัตริย์ซึ่งอยู่ได้เพราะประชาชนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเพื่อแลกกับเกียรติภูมิและ (3) ระบอบทรราชซึ่งอยู่ได้เพราะความกลัว มงเตสกิเออชื่นชมระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญของอังกฤษเป็นพิเศษด้วยเห็นว่ามีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร

เขายังเสนอด้วยว่าระบอบการปกครองที่ดีจะต้องแยกอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการออกจากกันอย่างชัดเจน ซึ่งแนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อการกำหนดรูปแบบการปกครองของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
Voltaire image
นักคิดภูมิธรรมของฝรั่งเศสอีกคนหนึ่งนามว่า วอลแตร์ (Voltaire ค.ศ.1694-1778) เกิดในครอบครัวที่บิดาเป็นอัยการ เขาเคยถูกจับเข้าคุก 2 ครั้งเพราะแต่งบทประพันธ์เสียดสีดยุกแห่งออร์เลอ็องส์ (Duke of Orléans) ผู้สำเร็จราชการในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (Louis XV) และมีข้อพิพาทกับขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง เมื่อพ้นโทษจึงไปอยู่ที่อังกฤษในช่วง ค.ศ. 1726-1729 และพบว่าที่นั่นให้เสรีภาพทางศาสนา รวมทั้งเสรีภาพที่จะแสดงความเห็นคัดค้านทางการเมือง และการจับกุมคุมขังประชาชนก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทั้งหมดตรงข้ามกับฝรั่งเศสในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ งานเขียนของเขาไม่ว่าจะเป็นหนังสือชื่อ จดหมายปรัชญา (The Philosophical Letters) นวนิยายเรื่อง กองดิด (Candide) และงานเขียนอื่นๆ ล้วนมุ่งโจมตีการมีอภิสิทธิ์ ความอยุติธรรม ความงมงายทางศาสนา การไร้ขันติธรรมทางศาสนา การซื้อขายตำแหน่งในวงราชการ และการปกครองแบบเผด็จการ
Jean-Jacques Rousseau image
ในช่วงเวลาร่วมสมัยกับวอลแตร์ นักคิดภูมิธรรมชาวฝรั่งเศสอีกคนหนึ่งนามว่า ฌอง ฌาคส์ รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau ค.ศ. 1712-1778) ได้เขียนหนังสือ สัญญาประชาคม (The Social Contract) โดยขึ้นต้นประโยคแรกว่า “มนุษย์เกิดมาเป็นอิสระ แต่ทุกแห่งหนเขาตกอยู่ใต้พันธนาการ” ซึ่งเขาต้องการสื่อความว่า รัฐเกิดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างผู้ปกครองกับชนชั้นที่ร่ำรวยเพื่อปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา และมักใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจองจำมนุษย์ ทั้งๆ ที่มนุษย์เกิดมาเป็นอิสระและมีสิทธิที่จะทำตามความพึงพอใจของตน ทางออกก็คือการทำข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้เจตนารมณ์ทั่วไป (general will) ของประชาชนกลายเป็นอำนาจสูงสุด และสิทธิในการปกครองของรัฐบาลนั้นมาจากประชาชนและดำรงอยู่ตราบเท่าที่ประชาชนพอใจ แนวคิดของรุสโซมีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1789 เพราะนอกจากจะวางแนวทางการปกครองที่พึงปรารถนาแล้ว ยังช่วยเร่งเร้าความจงเกลียดจงชังของบรรดาผู้ด้อยสิทธิ์และยากจนที่มีต่อชนชั้นปกครองและผู้มีทรัพย์สินอีกด้วย
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ทรงภูมิธรรมในยุโรปตะวันออก image
แม้ว่านักคิดภูมิธรรมจะกระจุกตัวอยู่ที่อังกฤษและฝรั่งเศส แต่ความคิดของพวกเขาก็แพร่หลายไปยังส่วนอื่นของทวีปยุโรปด้วย โดยเฉพาะกษัตริย์ในยุโรปตะวันออกที่ยังปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้นำแนวคิดภูมิธรรมมาสร้างความชอบธรรมทางการเมือง ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ทรงภูมิธรรม (enlightened absolutism) ซึ่งหมายถึง การปกครองที่กษัตริย์ประกาศตนว่าหลังจากได้รับมอบอำนาจการปกครองตามลัทธิเทวสิทธิ์แล้ว พระองค์จะทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้รัฐ รับผิดชอบชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ จัดระบบการศึกษาให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ ให้เสรีภาพทางศาสนา และส่งเสริมความเจริญทางศิลปวัฒนธรรม
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเห็นได้ในปรัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซีย
ปรัสเซีย image
ปรัสเซีย อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น (Hohenzollern) ซึ่งต้นตระกูลมาจากเจ้าผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และได้สิทธิเข้าปกครองรัฐบรันเดนบูร์ก (Brandenburg) และรัฐปรัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 17 ตามลำดับ รวมทั้งยังได้เป็น 1 ใน 7 ของคณะผู้เลือกตั้งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย โอกาสในการรวมศูนย์อำนาจมาถึงเมื่อเกิดสงครามสามสิบปีในช่วง ค.ศ. 1618-1648 สงครามนี้ทำให้บรรดาขุนนางซึ่งเป็นเจ้าที่ดิน หรือเรียกว่ายุงเกอร์ (Junkers) สูญเสียแรงงานในสังกัดไปมาก ส่วนแรงงานที่รอดชีวิตก็มีอำนาจต่อรองมากขึ้นและไม่ยอมรับใช้ยุงเกอร์ตามประเพณีอีกต่อไป ยุงเกอร์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับการรวมศูนย์อำนาจด้านแรงงาน (การเกณฑ์ทหาร) และการจัดเก็บภาษีของส่วนกลาง อำนาจการปกครองของปรัสเซียจึงเข้มแข็งขึ้น กษัตริย์ที่ได้รับการยกย่องว่าทรงภูมิธรรมคือ พระเจ้าเฟรเดอริกที่ 2 (Frederick II) หรือเฟรเดอริกมหาราช ซึ่งครองราชย์ในช่วง ค.ศ. 1740-1786 และเป็นผู้เชิญวอลแตร์มาเป็นแขกยังราชสำนักปรัสเซียในช่วง ค.ศ. 1750-1753 พระองค์ฟื้นฟูประเทศหลังสงครามสามสิบปี ปรับปรุงระบบเงินตราและธนาคารเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าใช้หลักขันติธรรมทางศาสนา และการจัดทา ประมวลกฎหมายที่บังคับใช้กับทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมกัน
ออสเตรีย image
ออสเตรีย ตั้งแต่ ค.ศ. 1272 อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับสบูร์กซึ่งต้นตระกูลเป็นขุนนางเยอรมันในสวิตเซอร์แลนด์ และในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 สมาชิกของราชวงศ์นี้ได้เป็นบุตรเขยของพระเจ้าซิกิสมุนด์ (Sigismund) กษัตริย์แห่งฮังการี โบฮีเมีย และจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1437 ราชวงศ์นี้ก็ได้ครองตำแหน่งเหล่านี้แทนจนมีอาณาเขตการปกครองที่กว้างขวาง แต่อำนาจก็ยังกระจายอยู่ในมือของขุนนางท้องถิ่นและสภา (Diet) ของแต่ละรัฐ จนกระทั่งในต้นรัชสมัยของพระนางมาเรีย เทเรซา (Maria Theresa) ซึ่งครองราชย์ในช่วง ค.ศ. 1740-1780 การที่ปรัสเซียทำสงครามชิงแคว้นไซลีเซีย (Silesia) ไปจากออสเตรียทำให้พระนางเห็นความจำเป็นในการศูนย์อำนาจเพื่อความอยู่รอด จึงได้ลดอำนาจของสภาในแต่ละรัฐ และรวมอำนาจด้านภาษีและการเกณฑ์ทหารมาที่ส่วนกลาง ซึ่งสภาของแต่ละรัฐก็ยินยอมเนื่องจากเห็นความจำเป็นในการต่อต้านการขยายอำนาจของปรัสเซีย พระราชโอรสของพระนางคือพระเจ้าโจเซฟที่ 2 (Joseph II) ซึ่งครองราชย์ในช่วง ค.ศ. 1780-1790 ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงภูมิธรรม เพราะได้ออกกฎหมายปลดปล่อยทาสติดที่ดินให้เป็นอิสระ สั่งเก็บภาษีที่ดินจากพวกขุนนาง จัดทำประมวลกฎหมายที่ยุติธรรมและสมเหตุสมผล ยึดหลักขันติธรรมทางศาสนา รวมทั้งควบคุมความร่ำรวยของพระจนถึงกับสั่งปิดวัดรวม 359 แห่ง
รัสเซีย image
รัสเซีย ตั้งแต่ ค.ศ. 1613 อยู่ภายใต้อำนาจของราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov) โดยตำแหน่งผู้ปกครองเรียกว่าซาร์ (Tsar) ซึ่งมาจากซีซาร์ (Caesar) อันเป็นคำเรียกจักรพรรดิโรมัน หรือเท่ากับผู้ปกครองรัสเซียมองตนเองเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ต่อจากจักรวรรดิโรมันและจักรวรรดิไบแซนไทน์ และผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานความยิ่งใหญ่ให้กับรัสเซียก็คือ ซาร์ปีเตอร์ที่ 1 (Peter I) หรือปีเตอร์มหาราช ซึ่งครองราชย์ในช่วง ค.ศ. 1682-1725 พระองค์รวมศูนย์อำนาจด้วยการแบ่งรัสเซียออกเป็น 8 เขตและส่งข้าราชการจากส่วนกลางเข้าไปปกครอง มีการลดอำนาจขุนนางท้องถิ่นโดยบังคับให้พวกเขามอบที่ดินเป็นมรดกแก่ลูกชายคนโตเท่านั้น ส่วนลูกคนอื่นๆ จะต้องเข้ารับราชการนอกจากนี้ยังทำสงครามกับสวีเดนเพื่อหาทางออกทะเลบอลติกจนได้ชัยชนะและนำไปสู่การสร้างเมืองหลวงใหม่จนแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1712 นั่นคือกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (Saint Petersburg) ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญตามแบบตะวันตก หลานสะใภ้ของพระองค์คือ ซารีนาแคเทอรีนที่ 2(Catherine II) หรือแคเทอรีนมหาราชินีนาถ ซึ่งครองราชย์ในช่วง ค.ศ. 1762-1796 ได้รับการยกย่องว่าทรงภูมิธรรม พระองค์เชิญดิเดอโรมายังราชสำนักรัสเซียในช่วง ค.ศ. 1773-1774 และเห็นด้วยกับคำแนะนาของเขาเกี่ยวกับการปรับปรุงการศึกษา ทำให้ใน ค.ศ. 1786 เกิดข้อกำหนดให้ตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษาในทุกเมืองเพื่อให้เด็กจากทุกชนชั้นได้เข้าเรียน แม้วา่ ในทางปฏิบัติ ชนชั้นสูงจะจ้างครูมาสอนบุตรหลานของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการสมาคมกับบุตรหลานของชนชั้นล่างก็ตาม

เมื่อพิจาณาจากกรณีของปรัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซียแล้วจะเห็นได้ว่า แนวคิดภูมิธรรมมีอิทธิพลต่อการดำเนินนโยบายของกษัตริย์ในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ทั้งนี้มีนักวิชาการที่เสนอว่า หากพิจารณาอย่างเคร่งครัดแล้วจะมีเพียงพระเจ้าโจเซฟที่ 2 แห่งออสเตรียเท่านั้นที่ทรงภูมิธรรมอย่างแท้จริง เนื่องจากมุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถอนรากถอนโคน (radical changes) เพื่อนา ไปสู่ความเสมอภาคตรงข้ามกับเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซียที่ยังคงให้อภิสิทธิ์แก่ขุนนางซึ่งเป็นเจ้าที่ดินโดยยกเว้นการเก็บภาษีและคงระบบทาสติดที่ดินเอาไว้ เช่นเดียวกับแคเทอรีนมหาราชินีนาถแห่งรัสเซียที่ยังคงให้อภิสิทธิ์แก่ชนชั้นขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกสิทธิของทาสติดที่ดินในการร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐหากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากขุนนางเมื่อ ค.ศ. 1768 การออก กฎบัตรขุนนาง (Charter of Nobility) เมื่อ ค.ศ. 1785 ที่ทำให้พวกเขาได้สิทธิพิเศษและข้อยกเว้นต่างๆ มากมาย และมีแต่ขุนนางเท่านั้นที่จัดประชุมเพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้

ประเด็นที่ว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ทรงภูมิธรรมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จึงยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

โกลวิน, อาร์. เอ. (2550). จอห์น ล็อก. ใน แอล. สเตร๊าส์ และ เจ. คร็อปซีย์, ประวัติปรัชญาการเมือง เล่มที่ 2

(สมบัติ จันทรวงศ์, ผู้แปล, น. 282-334). กรุงเทพฯ: คบไฟ.


บลูม, เอ. (2550). ฌ็อง-ฌ้ากส์ รุสโซ. ใน แอล. สเตร๊าส์ และ เจ. คร็อปซีย์, ประวัติปรัชญาการเมือง เล่มที่ 2

(สมบัติ จันทรวงศ์, ผู้แปล, น. 405-436). กรุงเทพฯ: คบไฟ.


ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (2549). ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


เบิร์นส์, แอล. โธมัส ฮ็อบส์. ใน แอล สเตร๊าส์ และ เจ คร็อปซีย์, ประวัติปรัชญาการเมือง เล่มที่ 2 (สมบัติ จันทรวงศ์, ผู้แปล, น. 157-196). กรุงเทพฯ: คบไฟ.


โลเวนทัล, ดี. (2550). มงเตสกิเออ. ใน แอล. สเตร๊าส์ และ เจ. คร็อปซีย์, ประวัติปรัชญาการเมือง เล่มที่ 2

(สมบัติ จันทรวงศ์, ผู้แปล, น. 335-369). กรุงเทพฯ: คบไฟ.


ศรีสุข ทวิชาประสิทธิ์. (2534). ประวัติศาสตร์การเมืองยุโรปจากกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 18. กรุงเทพฯ: 

สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.


อนันต์ชัย เลาหะพันธุ. (2554). ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. 1492-1815. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์.


ภาษาอังกฤษ

Duiker, W. J. & Spielvogel, J. J. (2013). World History (7th ed.) Boston, MA: Wadsworth.


Wilson, P. H. (2000). Absolutism in Central Europe. London: Routledge.

I BUILT MY SITE FOR FREE USING